รักษาฝ้าด้วยครีมแก้ฝ้า อย่างไรให้ได้ผล ?

10/08/2015 1 Comment(s)

 

 รักษาฝ้าด้วยครีมแก้ฝ้า อย่างไรให้ได้ผล ?

ครีมแก้ฝ้ามีอยู่หลากหลายสูตรมากมายให้เลือกใช้ จ่ายเงินไปมากมายก็ยังไม่เกิดผลเลย.. จะมีใครทราบบ้างหรือไม่ว่าครีมรักษาฝ้าที่เราใช้อยู่นี้ ใช้วิธีไหนใช้อย่างไรจึงจะเห็นผลกันแน่!

 

 

ครีมแก้ฝ้าที่ดี ต้องเป็นอย่างไร ?

 

1. ต้องไม่มีสารเคมีอันตรายในครีมแก้ฝ้า

     Hydroquinone เป็นสารฟอกสีตัวหนึ่ง สามารถลดการสร้างสีของเซลสร้างสีเมลานินได้อย่างชะงัดมาก โดยเฉพาะถ้าเรามาใช้ผสมกันกลุ่ม พวกวิตะมิน A (Vitamin A) และสเตอรอยด์ (Steroid) ผลิตภัณฑ์ที่ผสมเป็นสูตร 3 ตัวนี้ได้ผลชะงัดดีจริงๆ ไม่เกิน 2 สัปดาห์ ฝ้าจางลงแน่นอน และก็เกิดผลเสียไวด้วยเช่นกัน ทำให้หน้าเยินเป็นสิวนูนแดงทั่วใบหน้า ไวต่อแสงแดด และผิวหน้าก็จะแพ้ง่ายไปเลย รักษายากแบบสุดๆ ตัวอย่างมีให้เห็นได้ทั่วไปในครีมเถื่อนต่างๆมากมาย

 

     ดังนั้น ครีมแก้ฝ้าที่ดีไม่ควรเป็นครีมที่มีสารเคมีเจือปนอย่าง Hydroquinone เพราะ Hydroquinone เป็นสารเคมีอันตรายที่ควรได้รับจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นจึงจะสามารถใช้ได้ดี และไม่เกิดอันตรายต่อผิวหน้าของคุณ

 

 

2. ครีมแก้ฝ้าต้องมีสารสกัดจากธรรมชาติ

     สารสกัดจากธรรมชาติที่ได้คือ กรด AHA, VitaminC ที่มีในครีมแก้ฝ้า จะช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวที่หมองคล้ำ เป็นรอยฝ้า ให้ค่อยๆจางลงได้เป็นอย่างดี และยังช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้อิลาสตินและคอลลาเจนในชั้นผิวทำงานกันอย่างดียิ่งขึ้น ริ้วรอยบนใบหน้าก็จะลดลง รวมถึงผิวหน้าขาวใสขึ้นด้วย

 

     นอกจากสารสกัดจาก AHA และ VitaminC จะช่วยผลัดเซลล์ผิวทำมีรอยดำจากฝ้าได้ดีแล้ว สารสกัดจากรากปอสาและแก่นมะหาด ที่มีส่วนช่วยในการยับยั้ง Tyrosinase ที่เป็นตัวการทำให้เกิดเมานินบนใบหน้าจนเป็นรอยปื้นๆสีน้ำตาลคล้ำ หรือฝ้าได้เป็นอย่างดี

 

 

 

ขั้นตอนการใช้ครีมแก้ฝ้า ให้ได้ผล

 

 

 

 

 

1. ควรล้างหน้าให้สะอาด

     เมื่อกลับมาถึงบ้าน เพราะใบหน้าได้รับฝุ่นควัน และมลพิษมากมาย ทำให้เป็นตัวการรบเร้าอนุมูลอิสระบนใบหน้า จนเกิดเป็นรอยดำ ฝ้า กระตามใบหน้าได้นั่นเอง

 

 

 

 

2. ทาครีมแก้ฝ้า ควรทาตามขั้นตอน

     หากใครที่มีครีมหลายตัว ไม่รู้จัเริ่มลงตัวไหนก่อนดี เราแนะนำให้ลงตัวที่บางที่สุด ใสที่สุดก็คือ อายครีมเป็นอันดับแรก ต่อมาก็เป็นเซรั่ม มอยซเจอไรเซอร์ และครีมแก้ฝ้าตามลำดับ จนถึงครีมกันแดดเป็นอันดับสุดท้าย การทาครีมตามลำดับเช่นนี้ จะช่วยให้ครีมที่ใช้ได้ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 

 

 

 

3. ควรทาครีมกันแดดทุกวัน

     การทาครีมกันแดดไม่เพียงแต่จะทาเฉพาะวันที่ออกจากบ้านเท่านั้น วันที่อยู่ในบ้าน อยู่ในออฟฟิศก็ควรทาครีมกันแดดด้วยเช่นกัน เพราะครีมกันแดดจะช่วยป้องกันรังสีที่มาจากแสงแดด หน้าจอคอม หลอดไป และความร้อนที่ระเหยจากพื้นได้นั่นเอง

 

 

 

 

4. หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดเป็นเวลานาน

     หรืองดการออกแดดไปเลยจะดีมากคะ ในช่วงเวลา 10.00 – 15.00 น. เพราะแดดช่วงนี้อันตรายมาก หากจำเป็นต้องออกแดด ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า spf สูงพอสมควร คือมากกว่า 15 เป็นต้นไป แล้วอาจเพิ่มเติมโดยการกางร่ม สวมหมวก สม่ำเสมอ

 

 

 

 

5. ครีมแก้ฝ้าจากสารสกัดธรรมชาติ ควรทาเป็นประจำ

     ควรทาครีมแก้ฝ้าอย่างต่อเนื่อง เพราะครีมแก้ฝ้าที่มีสารสกัดจากธรรมชาติ จะมีส่วนช่วยในการยับยั้งเมลานิน และผลัดเซลล์ฺผิวอย่างอ่อนโยน และต้องใช้เวลาไม่ควรใจร้อนเพราะเห็นว่าใช้ๆก็ไม่ได้ผล หยุดใช้ดีกว่า ครีมแก้ฝ้าที่มีสารสกัดจากธรรมชาตินั้นไม่เหมือนการรักษาด้วยสารเคมีที่ทาเพียง 3-7 วันจึงเห็นผล จึงควรใจเย็นในการรักษาฝ้าด้วยนะคะ

 

 

 

 

6. ดื่มน้ำสะอาด

    ควรดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว ต่อวัน เพื่อช่วยในการขับถ่าย และรักาาสมดุลน้ำในร่างกาย การดื่มน้ำเป็นการเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ทำให้ผิวเกิดฝ้าได้ช้าลง 

 

 

 

 

7. ทานอาหารที่มีประโยชน์ ช่วยลดฝ้า

     การทานอาหารที่เน้นผักและผลไม้หลากสีเพื่อบำรุงผิว รวมถึงอาหารที่มีวิตามินบี12 เช่น นม ไข่ ตับ เนื้อสัตว์ ที่คนเป็นฝ้าควรรับประทาน เพราะคนที่ขาดวิตามินบี12 ส่วนใหญ่มักมีปัญหาฝ้าตามมา รวมถึงการพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย และการทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง สิ่งเหล่านี้มีผลทำให้ฝ้าจางลงได้

 

 

 

ใช้วิธีธรรมชาติในการรักษาฝ้าควบคู่ไปด้วย

 

 

 

 

 

1. สูตรหัวไชเท้า + น้ำผึ้ง รักษาฝ้า

     เพียงนำน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกันน้ำหัวไชเท้า 1/2 ช้อนโต๊ะ นำมาพอกบริเวณที่เป็นฝ้า 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นให้สะอาด ซับหน้าให้แห้ง ทาครีมแก้ฝ้าตามปกติ เท่านี้รอยฝ้าก็จะค่อยๆจางลงเมื่อทำเป็นประจำ สัปดาห์ละ 3 ครั้ง

 

 

 

 

 

 

2. สูตรใบกระเพราแห้ง รักษาฝ้า

     เพียงนำใบกระเพราแห้งมาปั่น ให้ได้ 3-4 ช้อนโต๊ะ จากนั้นเติมน้ำที่ผ่านการต้มลงไปประมาณ 1 ลิตร คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำไปแช่เย็น จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้มาทาในบริเวณที่เป็นฝ้าวันละ 2 ครั้ง เท่านี้รอยฝ้าก็จะค่อยๆจางลง

 

 

 

 

 

 

3. สูตรมะนาว+น้ำผึ้ง รักษาฝ้า

     นำน้ำมะนาว 1 ลูก ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน นำมานวดใบหน้า 2-3 นาที และพอกทิ้งไว้ 15-20 นาที ล้างออกให้สะอาด ทาครีมแก้ฝ้าตามปกติ เมื่อทำเป็นประจำ 3-4 วัน ต่อสัปดาห์ เท่านี้รอยฝ้าก็จะจางลง ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น ลดความมันบนใบหน้าได้ดีอีกด้วยค่ะ

 

 

 

 

 

 

4. สูตรว่านหางจระเข้ รักษาฝ้า

     นำว่านหางจระเข้ใบแก่ๆ ไปแช่น้ำประมาณ 10 นาที จากนั้นก็ปอกเปลือกออกและล้างให้สะอาด นำไปปั่น พอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที โดยสูตรนี้หากทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ก็จะช่วยให้ฝ้าหายได้ไวยิ่งขึ้น

 

 

 

 

 

 

5. สูตรมะขามเปียก รักษาฝ้า

     นำมะขาม ผสมน้ำอุ่น ขยำๆให้ข้น กรองแต่น้ำมะขามเปียก นำมะขามเปียกมาแต้มที่รอยดำฝ้า กระ จุดด่างดำจากสิว 10-15 นาที แล้วล้างออก เท่านี้รอยฝ้า กระ จุดด่างดำก็จะค่อยๆลดเลือนลงได้ เมื่อทำเป็นประจำก่อนนอนทุกวัน

 

 

 

 

 

ด้วยการรักษาด้วยวิธีเหล่านี้ที่ได้กล่าวไปข้างต้น หากทำอย่างไม่สม่ำเสมอ ไม่ค่อยมีเวลาดูแลตัวเอง ถึงครีมจะดีแค่ไหน รอยฝ้า กระ ก็จะกลับมาประทับบนใบหน้าของคุณอีกเช่นเคย ถ้าไม่อยากให้การรักษาฝ้าด้วยครีมที่ใช้สูญเปล่า ควรเริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่ตอนนี้ เลือกใช้ครีมรักษาฝ้าดีอย่าง ชุดรักษาฝ้า Herb&Her ที่มีสารสกัดจากธรรมชาติ อย่างรากปอสา และแก่นมะหาดที่เด่นในเรื่องการยับยั้งเมลานิน หรือฝ้าได้เป็นอย่างดี นอกจากใช้ครีมแล้วก็อย่าลืมทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง และสละเวลาในการพอกบำรุงผิวเพื่อรักษาฝ้าให้ดียิ่งขึ้นด้วยนะคะ :)

 

 

 

 

 

1 Comment(s)

Tass:
31/05/2017, 09:17:10 PM
Reply

ตกลง ทาครีมรักษาฝ้าก่อนหรือหลังมอยเจอไรเซอร์

เขียนความคิดเห็น...