ครีมรักษาฝ้า หน้าใส ใช้อย่างไรให้เห็นผล

ครีมรักษาฝ้ามีอยู่หลากหลายสูตรมากมายให้เราเลือกใช้ แต่จะใช้ครีมรักษาฝ้าอย่างไรให้ได้ผล และปลอดภัย เรามาดูขั้นตอนในการใช้ครีมรักษาฝ้าอย่างถูกต้องกันค่ะ

ฝ้า เกิดจากอะไร ?

    ฝ้า เกิดจาก เมลานิน ที่ทำงานมากเกินไปจนก่อตัวเป็นกระจุกบนผิวหน้า ทำให้เห็นเป็นสีน้ำตาลเข็ม ปื้นๆ สามารถเห็นได้ชัดตามบริเวณโหนกแก้ม ส่วนใหญ่สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป โดยฝ้าพบได้ในเพศหญิงถึง 70% ด้วยกัน

ประเภทของฝ้า

   ฝ้าแบบตื้น จะอยู่ในระดับผิวหนังกำพร้า (ผิวหนังชั้นนอก) ฝ้าชนิดนี้จะเป็นสีน้ำตาล ขอบชัด เกิดขึ้นได้ง่าย และสามารถรักษาให้หายได้โดยใช้เวลาไม่นาน

   ฝ้าแบบลึก จะอยู่ในระดับที่ลึกกว่าผิวหนังกำพร้า ความลึกของมันจะทำให้เกิดการแสดงสีออกมาเป็นสีน้ำตาลอมฟ้าหรือสีน้ำตาลอมม่วง เป็นฝ้าที่รักษาได้ยาก การทายามักให้ผลเพียงแค่ทำให้ดูจางลงเท่านั้น

สาเหตุที่ทำให้เกิดฝ้า

1. แสงแดด
        แสงแดดเป็นสาเหตุสำคัญที่สุดทำให้เกิดฝ้า เมื่อผิวหนังถูกแสงแดด รังสีอุลตร้าไวโอเลต จะกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์ไทโรซิเนสมากขึ้น ทำให้มีการสร้างเม็ดสีผิดปกติ (เมลานิน) จนเกิดเป็น ฝ้า กระ หรือ รอยด่างดำมากตามมา

 

2. ฮอร์โมน
        ฮอร์โมนที่ทำงานผิดปกติ โดยมากมักพบในคนตั้งครรภ์ หรือคนที่รับประทานยาคุมกำเนิด และอาจพบในคนที่เป็นธัยรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidism) ผิวหนังทั่วร่างกายจะมีสีคล้ำมากขึ้น

 

3. ยารับประทาน
        ยาหลายชนิดที่ทำให้เกิดฝ้าได้ เช่น ยากันชัก Diphenylhydantoin, Mesantoin 

 

4. เครื่องสำอาง
        เครื่องสำอางที่มีสารเคมี บางคนเกิดการแพ้เครื่องสำอาง เช่นน้ำหอม สี สารกันเสีย ทำให้เกิดรอยด่างดำแบบฝ้าได้

 

5. การขาดอาหาร
        การขาดสารอาหารบางอย่างทำให้มีสีผิวคล้ำขึ้นได้ เช่น กรด Folic, วิตามินเอ, วิตามินซี หรือวิตามินบี12 

 

6. พันธุกรรม
       พันธุกรรม โดยมากหากคนในครอบครัวเป็นฝ้า มีโอกาสที่คนนั้นจะเป็นฝ้ามีเปอร์เซ็นต์สูง 30-50% และพบว่าฝ้ามักเกิดในคนเอเซีย ซึ่งอาจเกิดจากอิทธิพลของพันธุกรรม หรืออาจเป็นผลมาจากสิ่งแวดล้อม
 

ใช้ครีมรักษาฝ้าอย่างไรให้เห็นผล และปลอดภัย

1. ใช้ครีมรักษาฝ้าที่มีสารสกัดจาก รากปอสา

     สารสกัดธรรมชาติที่ช่วยยับยั้งเมลานิน และต่อต้านอนุมูลอิสระ พบได้ใน รากปอสา มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase Inhibitor ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่เร่งขบวนการสร้างเม็ดสีเมลานินให้ผิวคล้ำเสีย และเกิดรอยฝ้า กระ จุดด่างดำ ซึ่งสารสกัดจาก รากปอสา สามารถพบได้ในครีมรักษาฝ้า (Melablock Plus) ของ Herb & Her 

2. ใช้ครีมรักษาฝ้า (Melablock Plus)  เป็นประจำ

    ใช้ครีมรักษาฝ้า ทาเป็นประจำ เช้า - เย็น จะช่วยให้ครีมรักษาฝ้าทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รอยฝ้า กระ จุดด่างดำ จะค่อยๆบรรเทาลง และจางลงเรื่อยๆ จนคุณสังเกตุได้

3. ทาครีมกันแดดเป็นประจำ 

     ทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้าน 15 นาที จะทำให้ครีมกันแดดมีประสิทธิภาพในการกันแดดมากขึ้น ควรทาวันละ 2 ครั้ง เพื่อยังคงประสิทธิภาพในการกันแดด และทำให้ช่วยกันกับครีมรักษาฝ้าในการป้องกัน ยับยั้งเมลานินไม่ให้ก่อตัวจนเกิด ฝ้า กระ ตามมา

4. ทานอาหารเสริม

    ทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี ที่เป็นตัวช่วยทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันและรักษาฝ้า ไม่ให้ขยายตัวใหญ่ขึ้น

5. ทำจิตใจให้แจ่มใส อย่าเครียด 

    ความเครียดทำให้เกิดฝ้า เพราะฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยน ทำให้เมลานินก่อตัวขึ้น จนเกิดฝ้าเป็นกระจุกที่ผิวหน้า 

6. อย่าอยู่ใกล้จอคอม 

     อย่าอยู่ใกล้ จอคอม จอทีวี จอมือถือ และโคมไฟ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เมาลานินก่อตัวจนเกิดฝ้า ทำให้หน้าหมองคล้ำ ดังนั้นหากจำเป็นต้องใช้งานสิ่งเหล่านี้ ควรอยู่ให้ห่าง หรือลดแสงลง เพื่อให้ครีมรักษาฝ้าทำงานได้อย่างดีขึ้น

7. ใช้ครีมรักษาฝ้าที่ปลอดภัย ไม่ใส่สาร Hydroquinone เกินกำหนด

    ครีมรักษาฝ้าทั่วไป จะมี Hydroquinone คือ สารเคมีที่ช่วยยับยังการสร้างเมลานินให้ลดลง แต่ต้องใช้ปริมาณตามที่แพทย์กำหนดเท่านั้น สามารถใช้ได้แค่ 4% เพื่อรักษารอยฝ้า หากมี Hydroquinone มากกว่า 4% เสี่ยงหน้าพัง ฝ้าฝังลึกกว่าเดิมแน่นอน

8. พอกหน้าด้วยธรรมชาติ ตัวช่วยในการรักษาฝ้า กระ

     สูตรพอกหน้ามีมากมายที่ช่วยรักษาฝ้า ไม่ว่าจะเป็น ว่านหางจรเข้, ใบบัวบก, หัวไชเท้า, หอมแดง, มะขามเปียก, ไข่ขาว ฯลฯ เพียงนำมาพอกหน้า 15-20 นาที ก็จะช่วยรักษาฝ้า กระ ให้จางลงได้ เมื่อทำเป็นประจำ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

เพียงเท่านี้ ก็จะช่วยให้ครีมรักษาฝ้ามีประสิทธิภาพในการรักษาฝ้ามากยิ่งขึ้น หากอยากให้ผิวหน้ากลับมาขาวใสดังเดิม ควรหมั่นดูแลตัวเองเป็นประจำ ทั้งเรื่องการกิน การดื่ม การออกกำลังกาย และวินัยในการทาครีมรักษาฝ้า ควรใช้เป็นประจำวันละ 2 ครนั้ง เช้าเย็น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีต่อผิวของคุณ